10.29.2555

ToKyo AuTuMN 2012


วันนี้ได้เริ่มเล่าเรื่องทริป Tokyo Autumn 2012 ซะทีค่ะ...หลังจากที่กลับมาแล้วตั้งสองสัปดาห์...เหอะ...เหอะ...

คราวนี้ดิฉันเดินทางด้วยสายการบิน United Airlines ค่ะ...เป็นครั้งแรกด้วยล่ะ 

โดยปกติแล้วดิฉันจะใช้บริการของสายการบินไทยหรือไม่ก็ Japan Airlines ค่ะ แต่จากการสอบถามราคาตั๋วจาก KTC World Travel Service Center ดิฉันก็เลยมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นและได้เปรียบเทียบข้อดี-ข้อด้อยของแต่ละสายการบินจนเวียนหัว...กลับไปอ่านความเดิมตอนที่แล้วได้ ที่นี่ ค่ะ ^^

ตั๋วของสายการบิน United Airlines ราคา 17,010 บาทค่ะ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลาหก โมงเช้าไปถึงสนามบินนาริตะเวลาบ่ายสองโมงห้านาทีค่ะ

ไม่ค่อยมีใครไปช่วงเวลาแบบนี้กันหรอกค่ะเพราะจะเสียเวลาเดินทางไปค่อนวันแล้ว...กว่าจะเดินทางเข้าเมืองก็เกือบจะเย็นแล้วน่ะค่ะ 
ก่อนจะตัดสินใจซื้อตั๋วของสายการบิน United Airlines...ดิฉันก็ลองหาราคาห้องพักแถวๆ สนามบินนาริตะก่อนค่ะ โรงแรมแถวนั้นราคาไม่แพง...ไม่เกิน 2,000 บาท...พอรวมกับราคาตั๋วเครื่องบินก็ราวๆ 19,000 บาท...โปรแกรมนี้ก็น่าสนใจมากเชียวค่ะ 
จากนั้นดิฉันก็หาข้อมูลต่อว่าแถวๆ สนามบินนาริตะมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้างหรือเปล่า...
หลังจากดูในเว็บไซด์นี้แล้วดิฉันก็เลยตัดสินใจออกเดินทางตอนเช้าแล้วไปพักที่เมืองนาริตะก่อนแล้วค่อยเข้าเมืองตอนเช้าวันรุ่งขึ้นค่ะ

พอใกล้วันเดินทางดิฉันก็โทรไป  KTC World Travel Service Center เพื่อสอบถามข้อมูลเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเดินทาง... แล้วดิฉันก็เพิ่งทราบว่าสายการบิน United Airlines ให้โหลดกระเป๋าเดินทางได้ 2 ใบ ...น้ำหนักไม่เกินใบละ 23 กก. ค่ะ...ว้าววว....w(^o^)W 

หลังจากที่ดิฉันดีใจกับการได้โหลดกระเป๋าเดินทาง 2 ใบแล้วดิฉันก็เริ่มกังวลว่าออกเดินทางหกโมงเช้า...ดิฉันต้องไปเช็คอินตอนตีสาม...แล้วถ้านอนเพลิน...ตื่นไม่ทันล่ะ... (^_^)'


เพื่อความชัวร์ว่าดิฉันจะไม่นอนเพลินจนตกเครื่อง...ดิฉันก็เลยพาน้องคิตตี้ไปนั่งรอเวลาเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ตีสองเลยล่ะค่ะ...หุ หุ

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยล่ะค่ะที่ดิฉันไปนั่งรอเวลาเช็คอินตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่...แล้วก็เพิ่งค้นพบความสบาย (แบบง่วงๆ...) เพราะผู้โดยสารยังมีน้อย...ไม่ต้องรอคิวนาน เดี๋ยวเดียวก็เช็คอินเสร็จแล้วล่ะค่ะ
พอเช็คอินเสร็จพนักงานก็บอกว่า "ทางออกขึ้นเครื่องอยู่ด้านบนนะครับ" ....  พอได้ยิน...ดิฉันก็งงๆ เบลอๆ อยู่เหมือนกัน...ทำไมทางออกไปอยู่ด้านบนล่ะ (?_?)

จากนั้นดิฉันก็เดินมาทางท้ายเคาน์เตอร์...เพื่อผ่านตม. ตามปกติ...แล้วดิฉันก็พบว่าสนามบินสุวรรณภูมิเปลี๊ยนไป๋.... และเข้าใจแล้วว่าทำไมพนักงานถึงได้บอกว่า "ทางออกขึ้นเครื่องอยู่ด้านบนนะครับ"


สนามบินสุวรรณภูมิมีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อยค่ะ เมื่อผู้โดยสารเช็คอินแล้วก็ต้องขึ้นไปผ่านการตรวจค้นอาวุธที่ชั้นบนก่อนแล้วก็ลงมาผ่านตม. ที่ชั้นล่างเหมือนเดิมค่ะ

คาดว่ากระบวนการนี้น่าจะเพิ่งมีนะคะเพราะดิฉันยังเห็นมีคนงานกำลังทำงานต่อเติมอยู่เลยล่ะค่ะ

และนี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ดิฉันไม่ต้องรอคิวยาว....ตอนผ่านตม. แต่กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ตม. นั่งรอดิฉันอยู่ค่ะ!

แค่แป๊บเดียว...หลังจากเช็คอิน...ดิฉันก็มาเดินปร๋อช้อปปิ้งอยู่ใน duty free shop แล้วล่ะค่ะ *(^O^)*

บรรยากาศบริเวณ duty free shop ช่วงเวลาตี 3 ตี 4 นี่เงียบเหงาผิดตาค่ะ...ดิฉันคาดคะเนด้วยสายตาแล้วคาดว่าพนักงานน่าจะมีมากกว่าลูกค้านะคะ

หลังจากที่ช้อปปิ้งเสร็จสรรพและฝากของเอาไว้ก่อนแล้วค่อยมารับตอนขากลับ..ดิฉันก็เดินเรื่อยเปื่อยไปที่ gate เพื่อนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องค่ะ


ดิฉันนั่งสัปหงกรอจนเกือบสว่าง...ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องซะที ตอนนี้ตาเริ่มจะปิดแล้วล่ะค่ะ -_-


ในเมื่อเลือกที่นั่งติดหน้าต่างทั้งที...ดิฉันก็ต้องทนถ่างตารอชมวิวตอนเครื่องบินขึ้นซะก่อนแล้วค่อยนอนค่ะ


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเด็กที่นั่งเบาะหลังแตะเบาะนั่งของดิฉันเรื่อยๆ หรือเพราะนี่ไม่ใช่เวลานอนแล้วกันแน่...เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้วดิฉันก็ยังนอนไม่หลับเลยค่ะ @_@


น้องคิตตี้ตื่นเต้น...ดีใจค่ะ

ส่วนดิฉันก็หลับๆ ตื่นๆ ไม่ได้นอนเต็มที่อย่างที่ตั้งใจไว้ว่าจะมานอนเอาแรงบนเครื่อง...

อ๋อ! เกือบลืมบอกเรื่องอาหารการกินและการบริการบนเครื่องบิน...ก็สมราคาค่ะ ซึ่งก็คือไม่ประทับใจเท่าไร...แต่ดิฉันก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรเพราะก็พอจะทราบมาก่อนแล้วว่าเทียบไม่ได้กับสายการบินไทยหรือเจแปนแอร์ไลน์

สำหรับคนที่อยากประหยัดค่าตั๋วและก็ไม่ได้สนใจกับอาหารหรือการบริการมากมายนัก...สายการยูไนเต็ด แอร์ไลน์นี่ก็ตอบโจทย์นี้ได้นะคะ


ได้ยินเสียงกัปตันประกาศว่ากำลังลดระดับลงจอดที่สนามบินนาริตะแล้วค่ะ


มองออกไปนอกหน้าต่าง...เห็นเมฆฝนอย่างนี้แล้วหวั่นใจ ดิฉันได้ยินตั้งแต่ก่อนมาว่าเมื่อหลายวันก่อนพายุกำลังเข้าประเทศญี่ปุ่น...ยังภาวนาว่าอย่ามาเจอฝนเลยนะเดี๋ยวจะหมดสนุก


มาถึงแล้วค่าาาา....ตรงเวลาเชียว 14.05 น.

ไม่เกิน 20 นาทีดิฉันก็ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง...ออกมารับกระเป๋าแล้วล่ะค่ะ...และที่สำคัญ...กระเป๋าออกมาหมุนรอเราอยู่บนสายพานรับกระเป๋าแล้วด้วยนะ...เยี่ยมมากเลย (^_^)b

แต่น่าเสียดายมากเลยที่ดิฉันยังทำเวลาได้ไม่ดีพอเลยพลาดรถบริการของโรงแรมรอบ 14.30 น. ที่เพิ่งออกไป เลยต้องรอรอบต่อไป....16.00 น. ....อีกตั้งชม.ครึ่งแน่ะ!

ดิฉันจองที่พักคืนนี้ไว้ที่ Mercure Narita Airport Hotel ค่ะ...ชึ่งถ้าไม่ใช้บริการรถของโรงแรมเราก็สามารถนั่งรถไฟไปโรงแรมได้นะคะ ดิฉันดูแผนที่โรงแรมแล้วเห็นมีสถานีรถไฟอยู่ใกล้ๆ ด้วยล่ะ แต่ด้วยความที่ดิฉันไม่ได้เตรียมตัวมานั่งรถไฟและก็มีปัญหากับโทรศัพท์ที่ไม่มีสัญญาณ...ทั้งสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต...ดิฉันก็เลยแตกตื่นเล็กน้อยและพยายามหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จนเวลาผ่านไปหลายสิบนาที...ก็ยังไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้อยู่ดี...ดิฉันก็เลยคิดว่านั่งรอรถโรงแรมไปเรื่อยๆ ก็ได้...นั่งรถไฟไปตอนนี้ก็ไม่เร็วไปกว่ากันซักเท่าไรแล้วล่ะค่ะ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา...ดิฉันใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้ไปคุยกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟดีกว่านั่งรอรถบริการของโรงแรมเฉยๆ ดีกว่าค่ะ


รถไฟเข้าเมืองมีหลายเส้นทางและหลายราคาให้เลือกค่ะ ดิฉันเลือกใช้บริการ Keisei Skyliner...เคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ด้านหน้าโถงผู้โดยสารขาเข้า (อาคาร 1 ) เลยล่ะ...หาง่ายมากๆ
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดิฉันจะนั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ ทุกทีจะใช้บริการรถ Shuttle Bus ที่แสนสะดวกสบายและไปส่งดิฉันถึงหน้าโรงแรม...แต่คราวนี้ดิฉันจองที่พักคืนที่สองไว้ที่ Mercure Ginza Hotel ซึ่งไม่มีรถ Shuttle Bus ไปส่งถึงหน้าโรงแรมนี้...นั่นก็คือไม่ว่าดิฉันจะเข้าเมืองด้วยรถ Shuttle Bus หรือรถไฟก็ต้องขึ้นรถแท๊กซี่หรือเดินไปที่โรงแรมต่อเหมือนกัน ดิฉันก็เลยไปด้วยรถไฟดีกว่า...ถูกกว่าค่ะ : D  

 

ดิฉันเล็งโปรโมชั่นนี้ไว้ค่ะ... บัตร Keisei Skyliner & Metro Pass...ประหยัดเงินได้แยะเชียวล่ะ


ดิฉันวางแผนไว้ว่าจะนั่ง Skyliner ไปลงที่ Ueno แล้วเปลี่ยนรถไฟไปลงที่ Ginza อีกทีนึงค่ะ


แต่พอได้คุยกับพนักงานขายตั๋ว...ดิฉันก็เพิ่งทราบว่ามีรถไฟขบวน Access Express ที่ผ่านแถว Ginza ด้วยล่ะค่ะ นั่นก็คือ...ดิฉันไม่ต้องไปต่อรถไฟที่สถานี Ueno แล้วล่ะค่ะ...สบายกว่ากันเยอะเลย...เย้... \(^_^)/

เมื่อได้ข้อมูลรถไฟที่จะต้องใช้เดินทางในวันรุ่งขึ้นแล้วดิฉันก็เดินไปรอรถ Shuttle Bus ของโรงแรมที่ Bus Stop no. 16 ...ไม่นานรถโรงแรมก็มารับแล้วล่ะค่ะ

ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินถึงโรงแรมประมาณยี่สิบนาทีกว่าๆ ค่ะ... ไกลจากสนามบินเหมือนกันนะนี่ ดิฉันดูแผนที่ของโรงแรมแล้วก็เหมือนไม่ค่อยไกลนี่นา.... 
หลังจากที่ดิฉันเช็คอินแล้วก็เอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ห้องและนั่งพักแป๊บนึงพร้อมทั้งรีบคุยกับที่ปรึกษาส่วนตัว (พูดซะหรูเชียว...อิ อิ) ด้วย whatsapp...เพื่อแก้ปัญหาเรื่องโทรศํพท์ไม่มีสัญญาณ ตอนนี้ดิฉันก็ต้องอาศัยสัญญาณ wifi ของโรงแรมไปก่อนค่ะ จากนั้นก็ออกไปเดินเที่ยวต่อค่ะ

ดิฉันได้ยินมาว่าคนไทยชอบแวะไปช้อปปิ้งที่ห้าง AEON MALL ก่อนเดินทางกลับกันน่ะค่ะก็เลยอยากไปดูซะหน่อยว่าที่ห้างนี้มีอะไร แต่จาก Mercure Narita Airport Hotel ไปห้าง AEON MALL ไกลมากเกินกว่าจะเดินได้...ต้องนั่งรถบัสไปค่ะ

ดิฉันไปขึ้นรถบัสที่สถานีที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรม...วิ่งไปสุดสายที่ห้าง AEON MALL ค่าบริการ 200 เยน (หรือ 300 เยนนะ...ชักจะลืมแล้วซิ) ค่ะ
จริงๆ แล้วรถบัสสายนี้วิ่งเป็นวงกลมนะคะ พอวิ่งไปถึงห้าง AEON MALL แล้วก็วิ่งกลับมาสุดสายที่สถานีที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรมนั่นล่ะค่ะ


ตอนที่มาถึงห้างนี้ยังไม่มืดนะคะ แต่ไม่มีมุมดีๆ ให้ถ่ายรูป ดิฉันเลยถ่ายตอนที่เดินกลับเข้าไปอีกครั้งนึงน่ะค่ะ


เข้ามาก็เจอร้าน Starbucks เป็นร้านแรกเลยค่ะ


Starbucks VIA เซตนี้หอม...อร่อย...ถูกใจมากค่ะ


ห้างนี้มีร้านอาหารไทยด้วยนะคะ...มองตรงไปจะเห็นร้านที่มีหน้าจั่วทรงไทยประดับอยู่หน้าร้านนั่นน่ะค่ะ


ดิฉันเดินหาร้านอาหารก่อนเลย เริ่มหิวแล้วล่ะ...แต่ช่วงนี้ร้านค้าและร้านอาหารหลายๆ ร้านปิดปรับปรุง-เปลี่ยนกิจการค่ะ ดิฉันเดินวนไป-มาอยู่สองสามรอบ...ไม่พบร้านที่ถูกใจ ก็เลยเดินออกไปหาร้านข้างนอกห้างฯ ต่อค่ะ


ดิฉันออกมาเจอร้านนี้อยู่แถวๆ ที่จอดรถใกล้ๆ ห้างฯ ค่ะ...ร้าน Big Boy เป็นร้านสเต็กกะทะร้อนพร้อมสลัดบาร์...all you can eat...


บรรยากาศภายในร้าน...ร้านนี้แบ่งเป็นโซนสูบบุหรี่กับโซนที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ว่าพื้นที่ก็เชื่อมถึงกันอยู่ดี...แล้วจะแบ่งทำไมกันนะ?....


สลัดบาร์มีให้เลือกทานหลายอย่าง...สลัด ซุป ของหวาน ผลไม้ น้ำ ชา-กาแฟ และ...ข้าวหน้าแกงกะหรี่!!

ดิฉันแปลกใจกับข้าวหน้าแกงกะหรี่มากเลย...คือว่า...ไม่เคยเจอสลัดบาร์ที่มีข้าวหน้าแกงกะหรี่น่ะค่ะ 
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะตักมาทานหรอกนะคะ แต่เพราะความอยากรู้...ก็เลยตักมาลองนิดนึง...อร่อยมากกว่าที่คิดไว้...อร่อยเกินหน้าเกินตาด้วยล่ะค่ะ ว่าแล้วดิฉันก็เดินกลับไปตักข้าวหน้าแกงกะหรี่มาอีก 1 ถ้วยค่ะ...หุ หุ


เพิ่มความอร่อยให้สเต็กด้วย 'Original sauce' ด้วยนะคะ


เจอตู้กดน้ำแบบนี้...ดิฉันยืนนิ่งอยู่พักนึง...มีน้ำอะไรบ้างหว่า...
เพื่อความชัวร์...ดิฉันกดปุ่ม Coca-Cola ค่ะ ^^ 

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~


หลังจากที่อิ่มสบายท้องแล้วดิฉันก็กลับเข้ามาเดินเที่ยวในห้างฯ ต่อค่ะ


ที่ห้างนี้มีร้าน Sanrio ด้วยนะคะ


ร้านสวย...ของเยอะเชียวค่ะ


น้ำผลไม้ น้ำชาเขียว และน้ำเปล่า...บรรจุในขวดน่ารัก...ราคาไม่ต่างกันมากค่ะ


ขนมที่มีแพคเกจเป็น Hello Kitty น่าทานเหมือนกันนะนี่.... 



ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของลูกค้า...ดีจังค่ะ


ดิฉันเจอร้าน 'Village/Vanguard' โดยบังเอิญบนชั้นสอง...ใกล้ๆ food court ค่ะ...ไม่ทราบมาก่อนเลยว่ามีสาขาที่ห้างนี้ด้วย
ร้านนี้ขายของเล่นหลายอย่างที่แปลกๆ หน่อย หาที่ร้านอื่นไม่ค่อยเจอค่ะ

~~~~~~~~~~~~~~~~~

เพราะว่าตอนนี้หลายๆ ร้านยังปิดปรับปรุง-เปลี่ยนกิจการอย่างที่บอกน่ะ...เลยไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก ดิฉันเดินย่อยอาหารอยู่สักพักนึงก็นั่งรถบัสกลับโรงแรมค่ะ


ร้านอาหารริมถนนแถวๆ โรงแรม...คาดว่าจะเป็นร้านราเมงค่ะ


หน้าโรงแรมค่ะ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

วันแรก...ออมแรงไว้ก่อนค่ะ วันรุ่งขึ้นจะตลุยกรุงโตเกียวให้เต็มที่เชียวล่ะ (^_^)V

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น